จอมขมังเวทย์ ภาคแรกออกฉายในปี พุทธศักราช 2548 ผลงานการกำกับของปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์แสดงนำโดยฉัตรชัย ส่องแสงพานิชและอัครา อมาตยกุล หนังแนวแอ็คชั่น ทริลเลอร์ที่ถือเอาความเลื่อมใสทางไสยศาสตร์มาผนวกรวมกับหนังแนวสืบสวนสอบสวน กล่าวได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในความจำของแฟนหนังไทยหลายชิ้น
เกิดอะไรขึ้นในหนังภาคแรก
ฤทธิ์ (ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช) อดีตกาลนายตำรวจหน่วยพิเศษเคยจับคนร้ายที่มีความรู้และมีความเข้าใจเก่งทางคาถาอาคม หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองกลับถูกทำโทษคดีวิสามัญคนร้ายจนถึงกลายเป็นนักโทษถูกขังลืมอยู่ในตารางมืดแดนกักขังพิเศษ
10 ปีผ่านไปฤทธิ์ได้ล่องหนไปจากกรงขังแบบล่องหนได้ ทำให้พ.ท.ทศพล อดีตกาลสหายนายตำรวจได้ออกคำสั่งจับตายฤทธิ์ และมีคำสั่งมาถึงร้อยตรี สงบสุข (อัครา อมาตยกุล) ให้ตามทำคดีนี้ แต่ทว่าระหว่างตามหาตัวฤทธิ์ สงบสุขกลับพบแต่สถานะการณ์แปลกเกี่ยวกับเรื่องของคุณไสยมนต์ดำ อาทิการเสกตะปูเข้าท้อง คนร้ายที่คงกระพันหนังเหนียว แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยากแค่ไหนสงบสุขก็ไม่หวาดกลัวและมุ่งมั่นที่จะจับกุมตัวฤทธิ์มาให้ได้ เมื่อเขารู้สึกตัวว่าตนเองบางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องประจันหน้ากับจอมขมังเวทย์ผู้ครอบครองคาถาอาคม วิถีทางเดียวที่จะสยบเขาให้ได้คือเป็นให้ “เหนือกว่าจอมขมังเวทย์”
จนถึงผู้ชมในยุคสมัยนั้นจดจำคำคมจากตัวละครของฤทธิ์ได้ว่า “เอ็งอย่าบ้าเสมือนฉันก็แล้วกัน” ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
เกิดอะไรใน จอมขมังเวทย์ 2020
ท่ามกลางการสูญเสียครั้งใหญ่ของวิน(หมาก ปริญ) ผู้ชายคนรอดชีวิตจากสถานะการณ์การฆ่ากลับจำเป็นต้องเปลี่ยนความเลื่อมใสและเชื่อถือที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งไปสู่ศาสตร์ลึกลับและคาถาอาคมเวทต่างๆเพื่อแสวงหาและจัดการคนร้ายด้วยตัวเอง แต่ทว่ายิ่งเขาแสวงหาตัวคนร้ายเยอะแค่ไหน เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกที จนถึงทำให้จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้บ้าพลังทำลายล้าง” (ก๊อต จิรายุ) และ “เจ้าลัทธิใหม่ที่ยุค” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยกันทั้งปวง นี่คือการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญ ที่มีเชื่อถือที่ตัวตนเป็นพนันและคาถาอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงระดับสูงสุด
นี่คือหนังภาคต่อ! ไม่ใช่รีเมค หรือรีบูต
สำหรับเพศผู้ดูแลต้อม-ปิยะจำพวก ชูเพ็ชร์ ที่ดูแลหนังภาคแรก ได้บอกว่าจอมขมังเวทย์ 2020 ไม่ใช่หนังรีเมค ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังต่อภาคอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้รับช่องทางสำหรับในการกลับมาแต่งเรื่องราวในโลกคาถาอาคมอีกรอบโดยตกผลึกเรื่องราวความเลื่อมใส ความเชื่อ และมุมมองด้านสังคมในแต่ละยุคที่ส่งต่อและเชื่อมโยงถึงกันมาใส่ด้านในบทภาพยนตร์
ในมุมมองที่น่าสนใจของเพศผู้ดูแลที่สะท้อนออกมาว่า “ภาคต่อกับระยะเวลา” นับว่าเป็นแนวความคิดที่สำคัญไม่น้อย เนื่องมาจากในขณะนี้แนวความคิดเรื่องการต่อสู้ระหว่างความดีงามกับความชั่วช้าสารเลวนั้น มุมมองของมนุษย์ก็เริ่มมีความต่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีหน้าที่กับความนึกคิด ความเลื่อมใสและความเชื่อของมนุษย์จึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ผู้กำกับจึงเริ่มตั้งข้อซักถามที่ว่า “ยุคนี้เขาเชื่อถืออะไรและยุคก่อนเชื่อถืออะไร” จนถึงเขาได้ไอเดียที่ว่าด้วยความต่างระหว่างความเลื่อมใสของคนต่างยุคสมัยนำมาสู่ประเด็นอะไรได้บ้าง
“ความนึกคิดของการเผชิญหน้ากันเรื่องความเลื่อมใสของตน บางอย่างเราคิดว่ามันโง่เขลา แต่ที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆรอบกายเราหมดเลย เราแขวนพระ เราไปไหว้พระ เพื่อให้เรามีความรู้สึกว่าเรามีกำลัง เรามีเชื่อถือในตนเองขึ้น สมัยเก่าเราไปไหว้ แต่ในตอนนี้มันหมายคือเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องพลังจิต เรื่องพลังจักรวาลอะไรแบบนี้ อันนี้คือคอนเซปต์ที่เรากล่าวถึงความเลื่อมใสของคนสองยุคมาเจอกัน เราจะเชื่ออะไรมากยิ่งกว่ากัน ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องราวและกระบวนการของจอมขมังเวทแต่ละคนที่จะใช้ศาสตร์คาถาอาคม เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ต่างๆมาต่อสู้กันตามความเลื่อมใสและเชื่อถือของแต่ละคนเอง” ต้อม-ปิยะจำพวก ชูเพ็ชร์ กล่าว
เพราะอะไรจำเป็นต้องใช้นักแสดงเบอร์ใหญ่ขนาดนี้
“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นการก้าวเข้าสู่โลกคาถาอาคมครั้งใหม่และประจันหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของ “เหล่าจอมขมังเวท” นานัปการคาแร็กเตอร์เช่นนี้ “ความขลังทางการแสดง” จึงเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่ผู้กำกับจำเป็นต้องโฟกัสเป็นพิเศษไม่แพ้ด้านอื่นๆและได้เลือกเฟ้น “กลุ่มนักแสดงขมังเวท” ซึ่งทีมงานตัดสินใจใช้นักแสดงระดับแถวหน้าของวงการรื่นเริงไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหน้าจอหนังใหญ่ทีแรกของ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ การกลับมารับหน้าที่เดิมจากภาคที่แล้วของนก-ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช ก๊อต-จิรายุ ตันเชื้อสาย กับบทชายหนุ่มที่เผลอไผลในศาสตร์มืด นก-สินจัย เปล่งพานิช กับการคืนหน้าจอใหญ่ในบทเจ้าแม่ลัทธิ! รวมไปถึงนักแสดงเลือดใหม่อาทิ คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล และ แพร์-พิชชาภา พันธุมจินดา โดยเหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับในการใช้ศิลปินเบอร์เต็งขนาดนี้ก็เนื่องจาก หนังปรารถนาความสามารถทางด้านการแสดงที่จะจำเป็นต้องเชือดเฉือนอารมณ์กัน เนื่องมาจากทุกตัวละครมีความซับซ้อน น่าคลั่งไคล้และเป็นตัวละครที่มีความทะเยอทะยานทุกตัว
นอกเหนือจากนักแสดงเบอร์ใหญ่แล้ว งานเทคนิคพิเศษและฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้จัดเต็มและอัดแน่นไม่แพ้กัน ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ปลดปล่อยพลังทางไสยเวทย์นั้น กล่าวได้ว่าเป็นฉากที่ผู้ชมหนังไทยในปี 2019 จำเป็นต้องจดจำอย่างแน่แท้!